วันอาทิตย์ที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2562

ประวัติขอลไพทอน



                                             

                                              ประวัติความเป็นมาของ Python




ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ประวัติของไพทอน







           ภาษา Python ถูกสร้างขึ้นในต้นยุค 90 โดย Guido van Rossum ที่ Stichting Mathematisch Centrum (CWI) ในประเทศเนเธอร์แลนด์ โดยต้นแบบภาษาสืบทอดมาจากภาษา ABC
ภาษา ABC เป็นภาษาที่ถูกออกแบบให้ง่ายต่อการเรียนรู้ ซึ่ง Van Rossum เคยช่วยเหลือในการพัฒนาภาษา ABC ก่อนหน้านี้ในอาชีพที่เขาทำ แต่ Van Rossum ได้มองเห็นปัญหาของภาษา ABC แต่เขาก็ยังคงชอบลักษณะเด่น ๆ จำนวนมากของภาษา ABC อยู่ เขาจึงสร้างภาษาสคริปต์ (scripting language) ใหม่ที่ใช้ไวยากรณ์ของ ABC ที่ได้แก้ไขปัญหาที่เขาพบบางอย่างลงไป เช่น สนับสนุนการจัดการกับข้อผิดพลาด (Exception Handling) เป็นต้น
Van Rossum เริ่มต้นพัฒนาภาษาใหม่ในช่วงวันหยุดคริสต์มาส เดือนธันวาคม ค.ศ.1989 แต่ช่วงนั้นเขายังไม่ได้ตั้งชื่อภาษาใหม่นี้ จนกระทั่ง เขาได้อ่านอ่านสคริปต์ที่ตีพิมพ์จากซีรีส์ตลก "Monty Python’s Flying Circus" ของบีบีซี ซีรีส์ตลกจากช่วงยุค 1970  เขาจึงเลือกชื่อ "Python" กลายเป็นจุดเริ่มต้นของภาษา Python
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ไพทอน

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ไพทอน




https://www.honestdocs.co/pm-2-5-environmental-nano-pollutants
http://www.wice.co.th/2018/01/11/digital-4-0-technology/
https://www.youtube.com/watch?v=u_RSxQwHrK8


































ฝุ่น PM2.5

                                                        

                                     PM2.5 คืออะไร?

      คำว่า PM ย่อมาจาก Particulate Matters เป็นคำเรียกค่ามาตรฐานของฝุ่นละอองขนาดเล็กที่เป็นอันตรายต่อสุขภาพซึ่งมีอยู่ด้วยกัน 2 ชนิด ได้แก่ PM 10 และ PM 2.5 ส่วนตัวเลข 2.5 นั้นมาจากหน่วย 2.5 ไมครอนหรือไมโครเมตรนั่นเอง
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ฝุ่น pm 2.5พูดง่ายๆ คือ ฝุ่นละออง PM2.5 เป็นอนุภาคขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยน้อยกว่า 2.5 ไมโครเมตร แขวนลอยอยู่ในอากาศรวมกับไอน้ำ ควัน และก๊าซต่างๆ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าถึงจะเป็นเพียงฝุ่นละอองขนาดจิ๋ว แต่เมื่อมาแผ่อยู่รวมกันจะกินพื้นที่ในอากาศมหาศาล ล่องลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศปริมาณสูง เกิดเป็นหมอกควันอย่างที่เราเห็นกันพูดง่ายๆ คือ ฝุ่นละออง PM2.5 เป็นอนุภาคขนาดเล็กที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางเฉลี่ยน้อยกว่า 2.5 ไมโครเมตร แขวนลอยอยู่ในอากาศรวมกับไอน้ำ ควัน และก๊าซต่างๆ ไม่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าถึงจะเป็นเพียงฝุ่นละอองขนาดจิ๋ว แต่เมื่อมาแผ่อยู่รวมกันจะกินพื้นที่ในอากาศมหาศาล ล่องลอยอยู่ในชั้นบรรยากาศปริมาณสูง เกิดเป็นหมอกควันอย่างที่เราเห็นกัน
ฝุ่นละออง PM2.5 ถือเป็นมลพิษต่อสุขภาพของมนุษย์ตามที่องค์การอนามัยโลกให้ความสำคัญและออกมาแจ้งเตือนให้ทราบ เพราะเป็นฝุ่นที่มีขนาดเล็กมาก เส้นผมที่ว่ามีขนาดเล็กแล้ว เจ้า PM2.5 ยังเล็กกว่าเส้นผมถึง 20 เท่า ทำให้เล็ดลอดผ่านขนจมูกเข้าสู่ปอด และหลอดเลือดได้ง่าย ส่งผลเสียต่อร่างกายในระยะยาว




ฝุ่นละอองมาจากไหน?
สาเหตุของการเกิดฝุ่นละอองมีหลายปัจจัย เช่น โรงผลิตไฟฟ้า ควันท่อไอเสียจากรถยนต์ การเผาไม้ทำลายป่า เผาขยะ รวมถึงควันบุหรี่ด้วย ซึ่งปกติแล้วกิจกรรมต่างๆ ที่คนเราทำทุกวันก็ส่งผลให้เกิดฝุ่นละอองใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอยู่แล้ว แต่แหล่งต้นตอสำคัญของ PM2.5 ในบรรยากาศ คือ การเผาไหม้เชื้อเพลิงธรรมชาติที่ไม่สมบูรณ์ และฝุ่นจากการก่อสร้าง
ตัวเมืองที่มีตึกสูงรายล้อมเหมือน “ กรุงเทพ ” จะมีลักษณะคล้ายๆ แอ่งกระทะ เกิดการสะสมของเจ้าฝุ่นร้ายได้ง่าย ซึ่งปกติฝุ่นเหล่านี้จะลอยขึ้นไปในอากาศ ถูกลมพัดฟุ้งกระจายไป แต่ถ้าวันไหนที่อากาศนิ่ง ไม่ค่อยมีลมพัด ฝุ่นละอองจะไม่ฟุ้งกระจาย ส่งผลให้ระดับความเข้มของฝุ่นในพื้นที่นั้นๆ สูงมากขึ้นจนกลายเป็นระดับที่อันตรายต่อสุขภาพ และเจ้าฝุ่นjavascript:void(null);ร้ายมักวนเวียนอยู่มากในช่วงกลางคืน แต่จะค่อยๆ จางหายไปเมื่อพระอาทิตย์ขึ้นส่องสว่างในยามเช้า
มีผลกระทบต่อร่างกายอย่างไร?
ฝุ่นละออง PM 2.5 เป็นเจ้าฝุ่นร้ายที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า ไม่มีกลิ่น ขนาดเล็กจิ๋วมาก สามารถผ่านเข้าไปในร่างกายเราลึกได้ถึงถุงลมปอด บางส่วนสามารถเล็ดรอดผ่านผนังถุงลมเข้าเส้นเลือดฝอยล่องลอยอยู่ในกระแสเลือด และกระจายตัวแทรกซึมไปทั่วร่างกายของเราได้
ความน่ากลัวของเจ้าฝุ่นร้ายนี้ คือ กระตุ้นให้เกิดสารอนุมูลอิสระ ลดระบบแอนตี้ออกซิแดนท์ รบกวนสมดุลต่างๆ ของร่างกาย และกระตุ้นยีนที่เกี่ยวข้องกับการหลั่งสารอักเสบ ซึ่งมีอันตรายต่อเนื้อเยื่อในร่างกายของเรามาก แล้วส่งผลกระทบต่างๆ ตามมา ดังนี้

  • กระตุ้นให้คนที่มีโรคระบบทางเดินหายใจเรื้อรังเกิดอาการกำเริบ เช่น โรคจมูกอักเสบภูมิแพ้ โรคหอบหืด และโรคถุงลมโป่งพอง
  • กระตุ้นให้คนที่มีโรคระบบหัวใจและหลอดเลือดเรื้อรังเกิดอาการกำเริบ โดยเฉพาะโรคกล้ามเนื้อหัวใจขาดเลือด
  • สำหรับผลระยะยาวจะทำให้การทำงานของปอดถดถอย อาจเกิดโรคถุงลมโป่งพองได้แม้จะไม่สูบบุหรี่ก็ตาม และเพิ่มโอกาสทำให้เกิดมะเร็งปอดได้ด้วย


ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ pm 2.5


ข้อแนะนำและวิธีป้องกันตนเองจากฝุ่นพิษ PM 2.5
1.  ลดการใช้ยานพาหนะส่วนตัว ส่งเสริมการใช้ระบบขนส่งสาธารณะ
2.  หลีกเลี่ยงการเผาไหม้ในที่โล่งแจ้ง เผาพื้นที่เพื่อเตรียมการทำเกษตรกรรม เผาขยะ หรือวัสดุเหลือใช้
3.  ควบคุมกระบวนการก่อสร้างให้มีฝุ่นน้อยที่สุด
4.  ออกกำลังกายในที่ร่ม ฝุ่นน้อยๆ และไม่ควรใส่หน้ากากอนามัยเวลาออกกำลังกาย
5.  รับประทานอาหารเสริม อาหารที่มีวิตามินซี และวิตามินอีสูง เช่น ถั่ว ปลา(มีโอเมก้า 3 มาก)
6.  ใส่หน้ากากอนามัยทุกครั้งที่จำเป็นต้องออกข้างนอกบ้าน หรือที่โล่งแจ้ง ให้ใส่หน้ากากพิเศษชนิดที่เรียกว่า “เอ็นเก้าสิบห้า” โดยเฉพาะผู้ป่วยที่เป็นโรคระบบการหายใจหรือโรคหัวใจเรื้อรัง สำหรับคนทั่วไปอย่างน้อยให้ใส่ “หน้ากากอนามัย” โดยต้องใส่ให้ถูกต้องวิธี คือ หันด้านที่เป็นสีเขียวและเป็นมันออกด้านนอก ให้ส่วนที่มีแผ่นเสริมความแข็งแรงและช่วยการเข้ารูปอยู่ด้านบนของจมูก สังเกตรอยพับของผ้าด้านหน้าต้องพับลง หากใส่ผิดรอยพับจะกักเก็บฝุ่นละอองในรอยพับ ทำให้หายใจลำบาก
ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ ฝุ่น pm 2.5ประเภทของหน้ากากอนามัยและการเลือกใช้ให้เหมาะสม

1.หน้ากากอนามัยชนิดN95
เป็นหน้ากากอนามัยที่ได้รับความนิยมสูงสุดในขณะนี้เป็นหน้ากากที่ได้มาตรฐานและได้รับการยอมรับว่าสามารถป้องกันเชื้อโรคได้ดีที่สุด เพราะป้องกันได้ทั้งฝุ่นละอองและเชื้อโรคที่มีขนาดเล็กถึง 0.3 ไมครอน เหมาะสำหรับป้องกันมลพิษ ฝุ่นละอองขนาดเล็กอย่าง PM2.5 ควันพิษ ไอเสียรถยนต์ และไอระเหยของสารเคมีต่างๆ

2. หน้ากากอนามัยแบบเยื่อกระดาษ3ชั้น
หรือที่เรียกว่าหน้ากากอนามัยทางการแพทย์ เป็นแบบที่คนส่วนใหญ่คุ้นเคย หาซื้อได้ง่ายตามร้านสะดวกซื้อและร้านขายยาทั่วไป เน้นการป้องกันการแพร่กระจายเชื้อโรคจากการไอหรือจามจากเชื้อแบคทีเรีย หรือเชื้อราได้ แต่หากเป็นเชื้อไวรัสซึ่งมีอนุภาคเล็กระดับไมครอน อาจไม่สามารถป้องกันได้ จึงไม่เพียงพอหากต้องการป้องกันฝุ่นพิษ PM2.5 และควรใช้ครั้งเดียวแล้วทิ้ง ไม่แนะนำให้ใช้ซ้ำ

3.หน้ากากอนามัยแบบผ้าฝ้าย
javascript:void(null);
ระดับความป้องกันไม่แตกต่างจากหน้ากากอนามัยแบบเยื่อกระดาษ เน้นการป้องกันการกระจายของน้ำมูกหรือน้ำลายจากการไอจาม สามารถป้องกันฝุ่นละอองที่มีขนาดใหญ่กว่า 3 ไมครอนขึ้นไป จึงไม่เหมาะกับการป้องกันฝุ่นละออง PM2.5 แต่มีข้อดี คือ ประหยัด สามารถนำไปซักกับน้ำยาฆ่าเชื้อโรคแล้วนำลับมาใช้ใหม่ได้





แหล่งที่มา
https://www.honestdocs.co/pm-2-5-environmental-nano-pollutants
http://www.wice.co.th/2018/01/11/digital-4-0-technology/
https://www.youtube.com/watch?v=u_RSxQwHrK8

TECHNOLOGY

                 
                    เทคโนโลยีล้าสมัย

       


       เทคโนโลยี (Technology) คือ การใช้ความรู้ เครื่องมือ ความคิด หลักการ เทคนิค ความรู้ ระเบียบวิธี กระบวนการตลอดจน ผลงานทางวิทยาศาสตร์ทั้งสิ่งประดิษฐ์และวิธีการ มาประยุกต์ใช้ในระบบงานเพื่อช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในการทำงานให้ดียิ่ง ขึ้นและเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและประสิทธิผลของงานให้มีมากยิ่งขึ้น

การนำเทคโนโลยีมาใช้กับงานในสาขาใดสาขาหนึ่งนั้นเทคโนโลยี มีความสำคัญ 3 ประการ คือ
1.ประสิทธิภาพ (Efficiency) เทคโนโลยีจะช่วยให้การทำงานบรรลุผลตามเป้าหมายได้ เที่ยงตรงและรวดเร็ว
2.ประสิทธิผล (Productivity) เกิดผลผลิตเต็มที่ ได้ประสิทธิผลสูงสุด
3.ประหยัด (Economy) ประหยัดทั้งเวลาและแรงงาน ลงทุนน้อยแต่ได้ผลมาก

ความสำคัญของเทคโนโลยี

 1.เป็นพื้นฐานปัจจัยจำเป็นในการดำเนินชีวิตของมนุษย์
 2.เป็นปัจจัยหลักที่จะมีส่วนร่วมในการพัฒนา
 3.เป็นเรื่องราวของมนุษย์ และธรรมชาติ
    -ช่วยยกระดับคุณภาพชีวิตของมนุษย์ แถมยังช่วยพัฒนาระบบอารายธรรมโดยทางอ้อมอีกด้วย
เรื่องราวจากการเริ่มต้นเทคโนโลยี ยาวนานจนบัดนี้ทำให้มนุษย์เราแทบไม่สามารถแยกจากเทคโนโลยีไปได้แล้ว
    -ช่วยให้มนุษย์มีความสะดวกสบายขึ้น
    -ช่วยให้เราทันสมัย
    -ช่วยประหยัดเวลา
    -ช่วยในการทำงาน

บทบาทหน้าที่ของเทคโนโลยี

      ความก้าวหน้าทางด้านวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี ทำให้มีการพัฒนาคิดค้นสิ่งอำนวยความสะดวกสบายต่อการดำชีวิตเป็นอันมาก เทคโนโลยีได้เข้ามาเสริมปัจจัยพื้นฐานการดำรงชีวิตได้เป็นอย่างดี เทคโนโลยีทำให้การสร้างที่พักอาศัยมีคุณภาพมาตรฐาน สามารถผลิตสินค้าและให้บริการต่าง ๆ เพื่อตอบสนองความต้องการของมนุษย์มากขึ้น เทคโนโลยีทำให้ระบบการผลิตสามารถผลิตสินค้าได้เป็นจำนวนมากมีราคาถูกลง สินค้าได้คุณภาพ เทคโนโลยีทำให้มีการติดต่อสื่อสารกันได้สะดวก การเดินทางเชื่อมโยงถึงกันทำให้ประชากรในโลกติดต่อรับฟังข่าวสารกันได้ตลอดเวลา

วิวัฒนาการเทคโนโลยี (Evolution of Technolgy)



ประโยชน์ของเทคโนโลยี
  เทคโนโลยี มีการเปลี่ยนแปลงหรือพัฒนาเมื่อเวลาผ่านไปขั้นตอนการเปลี่ยนนแปลงขึ้นอยู่กับกระบวนการทางวิวัฒนาการ (Evolution) ของระบบหรือเครื่องมือนั้นๆ ดังนั้นคำว่าวิวัฒนาการของเทคโนโลยี (Evolution of Technology) จึงหมายถึง ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นในระบบหรือเครื่องมือที่เกิดขึ้นอย่างซับซ้อนและมีการเปลี่ยนแปลงตามลำดับอย่างต่อเนื่องอันมีสาเหตุมาจากปัจจัยต่างๆ
  

Digital 1.0 เปิดโลกอินเตอร์เน็ต
            ยุคนี้เป็นยุคเริ่มต้นของ “Internet” เป็นช่วงเวลาที่กิจกรรมและการดำเนินชีวิตของผู้คนเปลี่ยนจากออฟไลน์ (offline) มาเป็นออนไลน์(online) มากขึ้น เช่น การส่งจดหมายทางไปรษณีย์ก็เปลี่ยนมาเป็นการส่งอีเมล์ E-mail และอีกหนึ่งตัวอย่างที่เห็นได้ชัด คือ การถือกำเนิดของเว็บไซต์ Website ที่ทำให้เราเข้าถึงทุกอย่างได้ง่ายขึ้นและทั่วถึง การอัพเดตรวดเร็วตลอด 24 ชั่วโมง การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ได้ส่งผลกระทบครั้งใหญ่และเป็นวงกว้าง การดำเนินกิจกรรมสะดวกและรวดเร็ว เริ่มมีกิจกรรมเชิงพาณิชย์และโฆษณาผ่านเครื่องมือออนไลน์เสมือนกับมีหน้าร้านที่ทุกคนบนโลกจะเห็นเราได้ง่ายขึ้น

Digital 2.0 ยุคโซเชียลมีเดีย
      ต่อยอดจากยุค 1.0 ก็จะเป็นยุคที่ผู้บริโภคเริ่มสร้างเครือข่ายติดต่อสื่อสารกันในโลกออนไลน์ เครือข่ายสังคม Social Network นี้เริ่มจากการคุยหรือแชทกับเพื่อน สมาคม กลุ่มเล็กๆของผู้คนที่ต้องการความสะดวกสบายในการติดต่อสื่อสาร จุดเล็กๆนี้เริ่มพัฒนาและขยายวงกว้างไปสู่การดำเนินกิจกรรมในเชิงธุรกิจ โดยนักธุรกิจส่วนใหญ่มองว่า Social Media เป็นเครื่องมือเชื่อมต่อและสร้างเครือข่ายทางธุรกิจให้แก่พวกเขาได้เป็นอย่างดีด้วยการคลิกเพียงครั้งเดียว อีกทั้งยังช่วยในการพัฒนา Brand วัดผลการดำเนินงานของธุรกิจ ส่งเสริมภาพลักษณ์แบรนด์ เสมือนว่า Social Media เป็นกระบอกเสียงและเวทีเสนองานแก่นักธุรกิจสู่สายตาชาวโลกเป็นอย่างดี เครื่องมือโซเชียลยังสามารถเป็นอำนาจในการต่อรองของผู้บริโภคที่กำลังตัดสินใจเลือกสินค้าและบริการ เนื่องจากมีตัวเลือกและร้านค้าให้เห็นมากขึ้นอีกด้วย

Digital 3.0 ยุคแห่งข้อมูลและบิ๊กดาต้า
ยุคแห่งการใช้ข้อมูลที่วิ่งเข้าออกเป็นล้านๆดาต้าให้เป็นประโยชน์ การเติบโตของโซเชียลมีเดียและ E-Commerce จากยุค 2.0 ทำให้เกิดการขยายของข้อมูลอย่างมหาศาล ทุกแพลตฟอร์มไม่ว่าจะเป็น สื่อโซเชี่ยล เว็บเบราวเซอร์ หรือแม้แต่ธุรกิจอย่างธนาคาร โลจิสติกส์ ประกันภัย รีเทล ต่างมีข้อมูลเข้าออกเป็นจำนวนมากในแต่ละวัน และเริ่มมีการนำข้อมูลเหล่านั้นมาใช้ให้เกิดประโยชน์ ดังคำกล่าวที่ว่า “ใครมีข้อมูลมาก ก็มีอำนาจมาก”

ข้อมูลถูกนำมาประมวลผล จับสาระ วิเคราะห์ถึงความต้องการของผู้บริโภคเพื่อสร้างสินค้าและบริการที่สามารถตอบสนองโจทย์ของลูกค้าได้ ทุกองค์กรต่างเห็นความสำคัญของการนำบิ๊กดาต้ามาใช้ให้เกิดประโยชน์สูงสุด แต่การนำบิ๊กดาต้ามาตอบสนองอย่างเรียลไทม์นั้น จำเป็นต้องมีระบบคลาวด์ Cloud Computing มาช่วยอำนวยความสะดวก จัดเก็บข้อมูล เลือกทรัพยากรตามการใช้งาน และทำให้เราสามารถเข้าถึงข้อมูลบนคลาวด์จากที่ใดก็ได้ ผู้ใช้ทุกคนสามารถเข้าถึงระบบ ข้อมูลต่างๆผ่านอินเตอร์เน็ต สามารถจัดการ บริหารข้อมูล และแบ่งปันข้อมูลกับผู้อื่น (Shared Services) ลดต้นทุนและลดความยุ่งยากเพื่อโฟกัสกับงานหลัก เพิ่มความเร็วในการบริการและการทำธุรกิจได้มากขึ้น
บิ๊กดาต้าสามารถนำมาต่อยอดโดยการคิดค้น เฟ้นหา และประยุกต์ใช้ข้อมูลนั้น พัฒนาเป็นแอพลิเคชั่น Application ที่ให้ความสะดวกสบายแก่ผู้บริโภคผ่านทางสมาร์ทโฟนและแท็บเลตอีกด้วย

Digital 4.0 เมื่อเทคโนโลยีมีมันสมอง
และเราก็มาถึงยุคที่ความฉลาดของเทคโนโลยีจะทำให้อุปกรณ์ต่างๆสื่อสารและทำงานกันเองได้อย่างอัตโนมัติ เทคโนโลยีในสามยุคแรกที่กล่าวไปเปรียบเสมือนเป็นแขน ขา ให้แก่มนุษย์ เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเหลือ อำนวยความสะดวก หยิบจับ คำนวณ ประมวลผมให้มนุษย์ มีแขน ขา แต่ไม่มีสมองเป็นของตัวเอง ในยุค 4.0 เทคโนโลยีถูกนำมาพัฒนาต่อยอดเพื่อลดบทบาทของมนุษย์ และเพิ่มศักยภาพของมนุษย์ในการใช้ความคิดเพื่อข้ามขีดจำกัด สร้างสรรค์พัฒนาสิ่งใหม่ๆ โดยจะใช้ชื่อยุคนี้ว่าเป็นยุค Machine-to-Machine เช่น เราสามารถเปิด-ปิด หรือสั่งงานอื่นๆกับเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านตัวเองผ่านแอพลิเคชั่นโดยไม่ต้องเดินไปกดสวิตช์ หรือตัวอย่างที่ถูกนำมาใช้งานจริงแล้วอย่างการพูดคำว่า “แคปเจอร์” กับแอพถ่ายภาพในสมาร์ทโฟน โทรศัพท์ก็จะถ่ายรูปให้อัตโนมัติโดยที่เราไม่ต้องกดถ่ายด้วยซ้ำ หรือแม้แต่เทคโนโลยีซิมูเลชั่น Simulation จำลองสถานการณ์เพื่อฝึกอบรมพนักงาน วางแผนสถานการณ์โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปถึงสถานที่จริง หรือเป็นสื่อการเรียนรู้แบบ Interactive เป็นต้น




                                  https://www.youtube.com/watch?v=LFJhya6a1RU


                                               เทคโนโลยีล้าสมัย
เครื่องวิทยุ AM /FN
        ถึงปัจจุบันเราจะสามารถฟังวิทยุผ่านมือถือกันได้เเล้ว เเต่ทั้งในรถยนต์หรือร้านอาหารข้างทางธรรมดาๆ ก็ใช้วิทยุกันทั้งนั้นนะครับ เพราะบางทีเปิดมือถือมานั้นส่วนใหญ่ก็กดเกมเล่นกันไม่ก็อ่านเฟสบุ๊คทำให้วิทยุเหล่านี้ก็ยังขายได้อยู่ดีถึงจะน้อยก็ตาม




สายเเจ็คเสียง 3.5mm
       สายหูฟังที่ใช้กันมาอย่างยาวนานที่ไม่มีท่าทีว่าจะหายไปง่ายๆ ถึงเเม้ iphone 7 จะนำช่องนี้ออกก็ตามเเต่ก็ยังมีอุปกรณ์อื่นๆ ที่ใช้กันอยู่ทั่วบ้านทั่วเมืองอยู่ดี



ตลับเกมคลาสสิก
   ตลับเกมที่ตอนเด็กๆ คนที่เคยเล่นน่าจะเคยหยิบเอามาเป่าก่อนเสียบเล่นกัน ที่ถึงปัจจุบันเครื่องเกมจะเปลี่ยนเป็นเเบบ blu-ray /Digital กันหมดเเล้ว เเต่ก็ยังมีกลุ่มคนที่ชอบของคลาสสิกเหล่านี้กันอยู่ที่คลาสสิกสุดๆ ขนาดยังใช้ตลับเล่นกันอยู่นั่นเอง
                                 

โทรทัศน์ CRT
       เครื่องโทรทัศน์ใหญ่ๆ อ้วนๆ ที่พบเห็นกันได้ตามร้านอาหารข้างทางทั่วไป หรือบ้านบางคนที่มีคนเถ้าคนเเก่ที่มีเครื่องเเบบนี้มานานเเล้วที่ยังใช้ดูข่าวดูละครอยู่ทุกวัน ที่ถึงในตลาดจะมีเเต่ LCD,LED ขายกันหมดเเล้ว เเต่เครื่องเเบบนี้ก็ยังมีคนใช้กันอยู่ดี


กล้อง Digital
    เเน่นอนว่ากล้องเเบบนี้นั้นปัจจุบันก็เเทบจะเเทนที่กล้องฟิล์มกันหมดเเล้ว เเต่ถ้าย้อนไปจุดกำเนิดนั้นก็เรียกได้ว่าเกือบ 20-30 ปีเเล้ว ซึ่งสิ่งที่ทำให้มันอยู่รอดมาได้จนถึงทุกวันนี้ก็เพราะความสะดวกนั่นเองที่ทำให้มีการปรับปรุงขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ถึงจะคิดค้นกันมานานเเล้วก็ยังใช้กันได้อยู่นั่นเอง


อ้างอิง
https://www.google.com/search?biw=1360&bih
http://www.wice.co.th/2018/01/11/digital-4-0-technology/





Digital 4.0 เทคโนโลยี


                        Digital 4.0 เทคโนโลยี

digital4.0-today

   และเราก็มาถึงยุคที่ความฉลาดของเทคโนโลยีจะทำให้อุปกรณ์ต่างๆสื่อสารและทำงานกันเองได้อย่างอัตโนมัติ เทคโนโลยีในสามยุคแรกที่กล่าวไปเปรียบเสมือนเป็นแขน ขา ให้แก่มนุษย์ เป็นเทคโนโลยีที่ช่วยเหลือ อำนวยความสะดวก หยิบจับ คำนวณ ประมวลผมให้มนุษย์ มีแขน ขา แต่ไม่มีสมองเป็นของตัวเอง ในยุค 4.0 เทคโนโลยีถูกนำมาพัฒนาต่อยอดเพื่อลดบทบาทของมนุษย์ และเพิ่มศักยภาพของมนุษย์ในการใช้ความคิดเพื่อข้ามขีดจำกัด สร้างสรรค์พัฒนาสิ่งใหม่ๆ โดยจะใช้ชื่อยุคนี้ว่าเป็นยุค Machine-to-Machine เช่น เราสามารถเปิด-ปิด หรือสั่งงานอื่นๆกับเครื่องใช้ไฟฟ้าในบ้านตัวเองผ่านแอพลิเคชั่นโดยไม่ต้องเดินไปกดสวิตช์ หรือตัวอย่างที่ถูกนำมาใช้งานจริงแล้วอย่างการพูดคำว่า “แคปเจอร์” กับแอพถ่ายภาพในสมาร์ทโฟน โทรศัพท์ก็จะถ่ายรูปให้อัตโนมัติโดยที่เราไม่ต้องกดถ่ายด้วยซ้ำ หรือแม้แต่เทคโนโลยีซิมูเลชั่น Simulation จำลองสถานการณ์เพื่อฝึกอบรมพนักงาน วางแผนสถานการณ์โดยที่ไม่ต้องเดินทางไปถึงสถานที่จริง หรือเป็นสื่อการเรียนรู้แบบ Interactive เป็นต้น

ผลการค้นหารูปภาพสำหรับ เทคโนโลยี 4.0
4.0 มาถึงเทคโนโลยีจะช่วย SME ได้อย่างไร
   
      1, โซเชียลมีเดีย ในยุค 4.0 การสื่อสารกับผู้บริโภคไม่จำเป็นต้องใช้หน้าร้านอีกต่อไป แต่จะเปลี่ยนมาใช้ช่องทางออนไลน์ โดยเฉพาะสื่อโซเชียลมีเดีย เช่น เฟซบุ๊ก ที่กลายเป็นช่องทางหลักของการสื่อสารในปัจจุบัน ด้วยเหตุนี้ผู้ประกอบการ SME จึงสามารถใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีรูปแบบนี้ โดยการเปิดเพจ สร้างหน้าร้านขึ้นมา เพื่อทำการสื่อสารไปยังกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย ซึ่งข้อดีของสื่อโซเชียลมีเดีย คือ ช่วยประหยัดค่าใช้จ่าย รู้ฟีดแบ๊คของลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว และสามารถเข้าถึงคนได้ในจำนวนมากๆ

2.แอปพลิเคชัน ปัจจุบัน “แอปพลิเคชัน” เป็นอีกหนึ่งเครื่องมือที่สามารถเข้ามาแบ่งเบาภาระการทำธุรกิจของผู้ประกอบการ SME ได้ เช่น การจัดทำบัญชีที่เก็บข้อมูลได้อย่างแม่นยำ หรือแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซที่ทำให้การจัดซื้อสินค้าเป็นไปอย่างสะดวกสบาย ทันใจผู้บริโภค อีกทั้งยังเป็นการตอบโจทย์พฤติกรรมของคนในยุคปัจจุบันที่หันมาใช้ช่องทางออนไลน์ในการติดต่อสื่อสารมากขึ้น
รูปภาพที่เกี่ยวข้อง

3.ระบบคลาวด์ การรักษาฐานข้อมูลสำหรับผู้ประกอบการ SME ถือว่ามีความสำคัญกับธุรกิจเป็นอย่างมาก เพราะฐานข้อมูลเหล่านี้สามารถนำมาวางแผนต่อยอดทำแผนการตลาด และนำมาสู่การสร้างผลิตภัณฑ์ออกมาให้ตอบโจทย์ ตรงตามความต้องการของผู้บริโภค ผู้ประกอบการ SME ควรนำระบบคลาวด์เข้ามาจัดการ รักษาฐานข้อมูลให้มีความปลอดภัย

4.เทคโนโลยี AI มีแนวโน้มว่าต่อไปในอนาคตแรงงานที่เป็นมนุษย์จะถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ หรือ AI เนื่องด้วยศักยภาพการทำงานที่มีประสิทธิภาพมากกว่า โดยสามารถเข้ามาช่วยผู้ประกอบการ SME ในเรื่องการวิเคราะห์ข้อมูลให้มีการตัดสินใจนำมาสู่ผลลัพธ์ที่น่าจะเป็น





แหล่งที่มา
http://www.wice.co.th/2018/01/11/digital-4-0-technology/
https://www.youtube.com/watch?v=u_RSxQwHrK8

วันอาทิตย์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2561

สอบปฏิบัติ


                                                          อาชีพ  เภสัชกร
       

                                  เรียนสายวิทย์-คณิต 

      เทคนิคการเตรียมสอบ

1. วิเคราะห์ความผิดพลาดจากครั้งก่อน
2. หยุดพักจากการเล่นโซเชียลมีเดีย 
3. สร้างสมาธิก่อนการอ่านหนังสือ
4. ทบทวนเนื้อหาและทำแบบฝึกหัด
5. ทำสรุปความเข้าใจของตนเอง
6. ติวกับเพื่อน


10 เคล็ดลับ จำง่าย การอ่านหนังสือสอบ

1. ปิด ทีวี คอมพิวเตอร์ อินเตอร์เน็ต mp3 มีสติอยู่กับหนังสือ 
2. นั่งสมาธิสัก 5 นาที 
3. อ่านหนึ่งรอบ แล้วสรุป โดยไม่เปิดหนังสือ 
4. เช็คคำตอบ 
5. อ่านอีกหนึ่งรอบ 
6. สรุปใหม่ เปิดหนังสือได้เอาไว้อ่าน 
7. ถ้าทำเป็น Mind Mapping จะอ่านง่ายขึ้น 
8. มีเอกสารอะไรที่ครูแจก อย่าคิดว่าไม่สำคัญ 
9. ท่องในส่วนที่ครูพูดย้ำบ่อยๆ อย่างน้อย 2 ครั้ง/คาบ 
10. ก่อนวันสอบ ห้ามหักโหมอ่านหนังสือถึงเที่ยงคืน เพราะสมองจะไม่รับรู้อะไรทั้งสิ้น


เภสัชศาสตร์ คืออะไร ?
      เภสัชศาสตร์ คือศิลปะในแขนงวิทยาศาสตร์ ที่เกี่ยวข้องกับการปรุงผสม ผลิตและจ่ายยา รวมทั้งการเลือกสรรคุณภาพของยา เวชภัณฑ์ต่างๆ ตลอดจนข้อมูลที่เกี่ยวข้องเพื่อให้บริการ และให้คำปรึกษาที่เหมาะสม ตรวจสอบทบทวนการใช้ยา พร้อมทั้งติดตามดูแลการใช้ยาของผู้ป่วย  ภาพรวมของเภสัชศาสตร์คือระบบความรู้ที่ก่อให้เกิดความสามารถที่จะให้บริการด้านสุขภาพด้วยความเข้าใจ ในเรื่องของยาและผลที่เกิดหลังจากการใช้ยา เพื่อให้การบำบัดรักษาให้เกิดผลดีแก่ผู้ป่วยมากที่สุด โดยจะรับผิดชอบร่วมกับบุคลากรสุขภาพอื่นๆ เช่น แพทย์ พยาบาล รวมถึงสัตวแพทย์ด้วย  ในอันที่จะทำให้ผู้ป่วยมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น  เภสัชศาสตร์ยังเกี่ยวข้องกับการประดิษฐ์ผลิตยาในรูปแบบต่างๆ  ตามคุณภาพมาตรฐานที่เหมาะสมตามกำหนด

คุณสมบัติของการ เป็น เภสัชกร

1.สำเร็จการศึกษาระดับปริญญาตรีขึ้นไปในสาขาเภสัชศาสตร์
2.มีสุขภาพกายและจิตดี ไม่พิการ ไม่ตาบอดสี มีมนุษย์สัมพันธ์ มีความเป็นผู้นำเพราะอาจทำงานร่วมกับผู้อื่นโดยเฉพาะในงานการผลิต มีบุคลิกภาพดี
3.รักในอาชีพ มีความรับผิดชอบสูง
4.มีความสนใจในวิชาวิทยาศาสคร์ เคมีชีววิทยา และสอบได้คะแนนดีในวิชาเหล่านี้
5.ชอบค้นคว้า ทดลอง ใช้ปัญญาในการวิเคราะห์
6.ละเอียด รอบคอบ ช่างสังเกต
7.มีความซื่อสัตย์
8.ชอบการท่องจำ เพราะต้องจำชนิด ส่วนประกอบของยา ชื่อยาและชื่อสารเคมีในการรักษาโรค ชื่อและประโยชน์ของต้นไม้ที่มียา

ระยะเวลาตามหลักสูตร

 
คณะเภสัชศาสตร์ หรือ สำนักวิชาเภสัชศาสตร์ (อังกฤษ: School of Pharmacy) เป็นสถานศึกษาพื้นฐานในการผลิตเภสัชกร โดยแบ่งเป็นการศึกษาในระดับปริญญาบัณฑิตและบัณฑิตศึกษา การศึกษาทางเภสัชศาสตร์โดยส่วนใหญ่เป็นการศึกษาในระดับอุดมศึกษา ในหลายประเทศได้จัดหลักสูตรการศึกษาโดยใช้ระยะเวลาการศึกษา 3 - 6 ปี อันประกอบด้วย เภสัชศาสตรบัณฑิต, วิทยาศาสตรบัณฑิต สาขาเภสัชศาสตร์ หรือในระดับผู้เชี่ยวชาญทางเภสัชกรรม (Doctor of Pharmacy) 

ระยะเวลาที่ใช้ในการสำเร็จการศึกษาจแตกต่างในแต่ละประเทศดังนี้

1.ประเทศไทยใช้เวลา 5 ปี ได้ ภบ หรือเรียน 6 ปี ได้ ภบบ
2.สหภาพยุโรป (European Union) รวมถึงสหราชอาณาจักร เดิมเรียน 4 ปีได้ ภบ  ปัจจุบันถูกแทนที่ด้วยเรียน 4 ปี ได้ ภม  เลย
3.ประเทศออสเตรเลียใช้เวลา 4 ปี ได้ ภบ  ต่ออีก 2 ปีได้ ภม 
4.สหรัฐอเมริกาใช้เวลา 4 ปี ได้ ภบ ต่ออีก 2 ปีได้ ภบบ 


หน้าที่ของเภสัชกร

  • บริหารงานเกี่ยวกับการใช้ยาในทางคลินิก (clinical medication management)
  • การเฝ้าติดตามสถานการณ์ของโรคเฉพาะ (specialized monitoring) ที่เกี่ยวกับยาและผลของยาทั้งโรค   ธรรมดาและซับซ้อน
  • ทบทวนการใช้ยาอย่างละเอียดถี่ถ้วน (reviewing medication regimens)ติดตามการรักษาโรคอย่างต่อเนื่อง (monitoring of treatment regimens)
  • ติดตามดูแลสุขภาพอนามัยทั่วไปของผู้ป่วย (general health monitoring)
  • ปรุงยา (compounding medicines)
  • ให้คำปรึกษาเกี่ยวกับสุขภาพอนามัยทั่วไป (general health advice)
  • 8ให้การศึกษาแก่ผู้ป่วยเป็นการเฉพาะ (specific education) เกี่ยวกับสถานการณ์ของโรคและการรักษาด้วยยา
  • ตรวจสอบเพื่อป้องกันความผิดพลาดในการจ่ายยา (dispensing medicines)
  • ดูแลจัดเตรียม(provision)ยาที่ไม่ต้องมีใบสั่งแพทย์(non-prescription medicines)
  • ให้คำปรึกษาและแนะนำผู้ป่วยถึงการใช้ยาให้มีประสิทธิภาพสูงสุด(optimal use of medicines)
  • แนะนำและรักษาโรคพื้นๆทั่วไป(common ailments)
  • ส่งต่อผู้ป่วยไปยังวิชาชีพสาธารณสุขอื่นที่ตรงกับโรคของผู้ป่วยมากกว่าถ้าจำเป็น
  • จัดเตรียมปริมาณยา (dosing drugs) ในผู้ป่วยตับและไตล้มเหลว
  • ประเมินผลการเคลื่อนไหวของยาในผู้ป่วย (pharmacokinetic evaluation)
  • ให้การศึกษาแก่แพทย์ (education of physicians) เกี่ยวกับการใช้ยาอย่างถูกต้อง
  • ร่วมกับวิชาชีพทางด้ายสาธารณสุขอื่นในการสั่งยา (prescribing medications) ให้คนไข้ในบางกรณี
  • ดูแล จัดเตรียม จัดหา และรักษาเภสัชภัณฑ์ให้อยู่สภาพพร้อมใช้งาน 

อาชีพที่เกี่ยวเนื่อง
         ตัวแทนจำหน่ายยา เจ้าของร้านขายยา ผู้ควบคุมห้องทดลองปฏิบัติการ   พนักงานตรวจสอบอาหารและยา


การเปรียบเทียบวิชาชีพเภสัชกรรมกับวิชาชีพอื่นๆ 
1. เภสัชศาสตร์ กับ แพทยศาสตร์ (Pharmacy VS Medicine)
สมัย ก่อน การเรียนเภสัชศาสตร์จะเน้นที่ตัวผลิตภัณฑ์ (Product-oriented) ส่วนการบริบาลผู้ป่วยนั้น (Patient-oriented) เป็นแนวคิดที่รับจากสหรัฐอเมริกาในยุคหลัง บางคนก็ยังแยกความแตกต่างระหว่างแพทย์กับเภสัชกรไม่ชัดเจน น้องลองดูซิว่า บทบาทหน้าที่ด้านล่างนี้ สมควรเป็นหน้าที่ของเภสัชกรหรือไม่ และซ้อนทับกับหน้าที่ของแพทย์หรือไม่ โดยหน้าที่ของเภสัชกรในการบริบาลทางเภสัชกรรม ประกอบด้วย
- การซักประวัติการใช้ยาของผู้ป่วย
- การบันทึกข้อมูลการใช้ยาของผู้ป่วย
- การประเมินการใช้ยา
- การติดตามผลการรักษาของยา
- การบริการเภสัชสนเทศ
- การให้คำปรึกษาเรื่องยาแก่ผู้ป่วย
- การให้คำปรึกษาเรื่องยาแก่บุคคลากรทางการแพทย์
- การให้ความรู้เรื่องยาแก่บุคคลากรทางการแพทย์
- การเตรียมยามะเร็งและสารอาหารที่ให้ทางหลอดเลือด
- การวิจัยยาในระดับคลินิก
ดัง นั้น ในมุมมองทางด้านการแพทย์และสาธารณสุข เภสัชกร ก็คือ บุคลากรทางด้านวิทยาศาสตร์สุขภาพและสาธารณสุข ที่ดูแลเรื่องของยา หรือ การใช้ยา ในการรักษา บำบัด บรรเทา และป้องกันโรค ซึ่งในกระบวนการรักษาเหล่านั้น อาจมีหลายวิธี เช่น การผ่าตัด การทำหัตถการ จิตบำบัด การฉายรังสี กายภาพบำบัด เป็นต้น แต่เภสัชกร จะดูแลเรื่องการใช้ยาในกระบวนการรักษา เช่น ตัวยา รูปแบบยา ขนาดยา ผลข้างเคียงของยา อาการไม่พึงประสงค์ของยา การแพ้ยา อันตรกิริยาของยา นอกจากนี้ ยังต้องดูแลเรื่องการผสมยาและการเตรียมยาด้วย โดยเฉพาะ การผสมยาฉีดและการเตรียมยามะเร็ง รวมทั้งสารอาหารที่ให้ทางหลอดเลือด
2. เภสัชศาสตร์ กับ เคมี (Pharmacy VS Chemistry)
เภสัชศาสตร์ ก็เป็นอีกศาสตร์หนึ่งที่ใช้ความรู้ทางเคมีเยอะมาก และบางคนก็สับสนว่าเภสัชต่างจากเคมีอย่างไร หรือนักเคมีสามารถทำงานแทนเภสัชกรได้หรือไม่ จึงมีคำถามที่จะถามนักเคมีและวิศวกรเคมี ดังนี้
- การผลิตยาเม็ดมีกี่วิธี ?
- จงยกตัวอย่างการเพิ่มค่าการละลายของตัวยาในการเตรียมตำรับยาน้ำ ?
- ตำแหน่งใดของตัวยา Sulfamethoxazole ที่มีผล Hypersensitivity Reaction
- Morphine ที่มีฤทธิ์ มีโครงสร้างเป็น (+) หรือ (-) ?
- จงบอกขั้นตอนการศึกษาสารสำคัญในพืชสมุนไพร ?
- การวิจัยยามีขั้นตอนอะไรบ้าง (เช่น Lead Compound และ Phase I-IV) ?
- ช่วงที่ยอมรับได้ในการวิเคราะห์ %LA ของยา Amoxycillin ในรูปแบบแคปซูล คือ ช่วงเท่าใด ?
- สารใดบ้างที่เป็นสารต้องห้ามในอาหาร ?
- ลักษณะเฉพาะของโรงงานผลิตยาฉีดมีอะไรบ้าง ?
- อนุภาคศาสตร์และวิทยากระแสมีผลต่อการผลิตยาอย่างไร ?
- ระบบการประกันคุณภาพของโรงงานยามีอะไรบ้าง


คณะเภสัชศาสตร์

  •  คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ(สาขาวิชาการบริบาลทางเภสัชกรรม) 
  • คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาฯ(สาขาเภสัชกรรมอุตสาหการ)  
  • คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหิดล 
  •  คณะเภสัชศาสตร์ ม.เชียงใหม่ 
  •  คณะเภสัชศาสตร์ ม.ศรีนครินทรวิโรฒ (สาขาวิชาการบริบาลทางเภสัชกรรม) 
  •  คณะเภสัชศาสตร์ ม.ศรีนครินทรวิโรฒ (สาขาวิชาวิทยาศาสตร์เภสัชกรรม) 
  •  คณะเภสัชศาสตร์ ม.อุบลราชธานี (สาขาวิชาการบริบาททางเภสัชกรรม) 
  • คณะเภสัชศาสตร์ ม.อุบลราชธานี (สาขาวิชาเภสัชกรรมอุตสาหการ) 
  •  คณะเภสัชศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ รับ 
  •  คณะเภสัชศาสตร์ ม.นเรศวร (สาขาวิชาบริบาทเภสัชกรรม) 
  •  คณะเภสัชศาสตร์ ม.มหาสารคาม (สาขาวิชาการบริบาททางเภสัชกรรม) 
  • คณะเภสัชศาสตร์ ม.บูรพา 
  •  คณะเภสัชศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ (สาขาวิชาการบริบาลทางเภสัชกรรม)
  •  คณะเภสัชศาสตร์ ม.สงขลานครินทร์ (สาขาเภสัชกรรมอุตสาหการ) 
  •  คณะเภสัชศาสตร์ ม.พายัพ (สาขาการบริบาลทางเภสัชกรรม) 

แนวทางในการประกอบอาชีพ

1.ศึกษาต่อในระดับปริญญาโท ปริญญาเอก ทั้งในและต่างประเทศ
2.ทำงานในหน่วยงานของรัฐและเอกชน เช่น เภสัชกรโรงพยาบาล ศูนย์อนามัย สถานีอนามัย
3.เภสัชกรอุตสาหกรรม ในโรงพยาบาล หรือบริษัทจำหน่ายยาทั้งของรัฐและเอกชน แบ่งออกเป็นแผนกผลิต แผนกควบคุมมาตรฐาน และแผนกวิจัย
4.เภสัชกรชุมชน เป็นเจ้าของผู้จัดการหรือเภสัชกรประจำร้านขายยา
5.เภสัชกรการตลาด ทำหน้าที่แนะนำผลิตภัณฑ์ยา
    
 มหาลัยที่อยากเข้า

  • มหาลัยเชียงใหม่
  • มหาลัยนเรศวร



โอกาสความก้าวหน้าในอาชีพ

-  สายงานด้านการตลาด  มีความกระตือรือร้น มีความคล่องตัวในการค้าขาย แสวงหาความรู้ด้านการ              ตลาด รู้จักวิเคราะห์เศรษฐกิจและสังคมได้เป็นอย่างดี
-  สายงานด้านโรงพยาบาล  มีความสามารถในการบริหารงาน และการบริการที่ดี
-   สายงานราชการ  ขึ้นอยู่กับความรู้ ถวามสามารถและผลงานทางวิชาการ
-  สายงานด้านเอกชน  อยู่ที่ความรู้ความสามารถและผลงาน ความรับผิดชอบและความกระตือรือร้น


สถาบันที่เปิดสอนคณะเภสัชศาสตร์

  • เป็นลิงค์ของคณะเภสัชศาสตร์ในประเทศไทย คลิกได้เลยนะจ๊ะ
  • เป็นลิงค์ของคณะเภสัชศาสตร์ในประเทศไทย คลิกได้เลยนะจ๊ะ
  • เป็นลิงค์ของคณะเภสัชศาสตร์ในประเทศไทย คลิกได้เลยนะจ๊ะ
  • คณะเภสัชศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
  • คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล
  • คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น
  • คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่
  • คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยนเรศวร
  • คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร
  • คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์
  • คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยรังสิต
  • คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยหัวเฉียวเฉลิมพระเกียรติ
  • คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
  • คณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม


         อ้างอิง

        https://my.dek-d.com/writer/story/viewlongc.php?id=140705&chapter=21





วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2561

เมืองหลวง 10 ประเทศอาเซียน

   
        เมืองหลวงประเทศอาเซียน 10 ประทศ 
 

                  ประเทศไทย เมืองหลวงคือ กรุงเทพมหานคร (Bangkok)

   
      กรุงเทพมหานครตั้งอยู่ในภาคกลางของประเทศไทยบริเวณใกล้ปากแม่น้ำเจ้าพระยา มีพื้นที่ราว 1,569 ตารางกิโลเมตร มีคนอาศัยอยู่มากกว่า 10 ล้านคน (ทั้งแบบตามทะเบียนบ้านและแบบแรงงานย้ายถิ่น) กรุงเทพมหานครได้รับการสถาปนาขึ้นเป็นเมืองหลวงของไทยตั้งแต่ปี พ.ศ.2325 โดยพระบาทสมเด็จพระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลก รัชกาลที่ 1 แห่งบรมราชจักรีวงศ์ โดยย้ายเมืองหลวงมาจากกรุงธนบุรี ซึ่งอยู่ฟากตรงข้าม มีแม่น้ำเจ้าพระยากั้นกลาง เนื่องจากกรุงเทพมหานคร (ชื่อเดิมคือจังหวัดพระนคร) มีชัยภูมิที่ดีกว่า ง่ายต่อการรักษาพระนครในกรณีถูกข้าศึกรุกราน ปัจจุบันกรุงเทพมหานครเป็นศูนย์กลางการค้าการลงทุน การบริหาราชการแผ่นดิน การเมืองการปกครองของประเทศไทย และยังแหล่งท่องเที่ยวที่ได้รับความนิยมจากนักท่องเที่ยวทั่วโลกอีกด้วย กรุงเทพมหานครมีผู้ว่าราชการจังหวัดที่มาจากการเลือกตั้งเป็นผู้บริหารสูงสุด

       ประเทศอินโดนีเซีย เมืองหลวงคือ กรุงจาการ์ตา (Jakarta)
     

     กรุงจาร์กาตาเป็นเมืองใหญ่ที่สุดของประเทศอินโดนีเซีย เดิมชื่อว่าเมืองบาตาเวีย (Batavia) ตั้งอยู่ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเกาะชวา มีพื้นที่ประมาณ 720 ตารางกิโลเมตร มีประชากรราว 13 ล้านคน ซึ่งนับว่าค่อนข้างหนาแน่น มีผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้บริหารสูงสุดเช่นเดียวกับกรุงเทพมหานคร เป็นเมืองที่ทันสมัยและสวยงาม กรุงจาร์กาตาเป็นศูนย์กลางในทุกๆด้านของประเทศอินโดนีเซีย ทั้งทางด้านเศรษฐกิจ การเมืองการปกครอง แหล่งการศึกษา และยังเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญของประเทศอีกด้วย

                 ประเทศสิงคโปร์ เมืองหลวงคือ สิงคโปร์ (Singapore)


      ประเทศสิงคโปร์ไม่มีเมืองหลวงอย่างเป็นทางการ โดยใช้พื้นที่ทั้งประเทศเป็นเมืองหลวงเนื่องจากเป็นประเทศที่เป็นเกาะขนาดเล็ก ตั้งอยู่บริเวณปลายแหลมมาลายู มีเนื้อที่เพียง 697 ตารางกิโลเมตร ประชากรราว 5,300,000 คน สิงคโปร์ถึงแม้จะไม่มีทรัพยากรอะไรเลย แต่ก็นับได้ว่าเป็นประเทศที่มีความเจริญเป็นอย่างมาก โดยเป็นศูนย์ทางด้านเศรษฐกิจ การเงินและการลงทุนของภูมิภาค และถึงแม้จะเป็นประเทศขนาดเล็ก แต่ก็มีบริษัทต่างชาติมาตั้งสำนักงานจำนวนมากมาย มีสนามบินและระบบขนส่งภายในประเทศที่ทันสมัยที่สุดในภูมิภาค ประชากรมีคุณภาพชีวิตที่ดี มีรายได้สูง มีแหล่งท่องเที่ยวมีเป็นจุดดึงดูดผู้คนจากทั่วโลกมากมาย

      ประเทศบรูไนเมืองหลวงคือกรุงบันดาเสรีเบกาวัน (Bandar Seri Begawan)



       กรุงบันดา เสรี เบกาวัน อยู่ทางฝั่งตะวันออกของประเทศบรูไน โดยเป็นทั้งเมืองหลวงและเมืองท่าที่สำคัญที่สุดของประเทศ เป็นเมืองหลวงที่มีเนื้อที่ขนาดเล็กมีเนื้อที่เพียง 100 ตารางกิโลเมตร มีประชากรราว 100,000 คน ในสมัยการล่าอาณานิคมของประเทศฝั่งยุโรป เมืองนี้เคยตกอยู่ใต้การยึดครองของประเทศอังกฤษ โดยถูกเรียกว่าเมืองบรูไน ก่อนจะกลับมาใช่ชื่อ บันดา เสรี เบกาวัน ภายหลังจากได้รับเอกราชจากอังกฤษแล้ว

    ประเทศพม่า เมืองหลวงคือ กรุงเนปิดอว์ (Naypyidaw)

    

       กรุงเนปิดอว์ถูกสถานปนาขึ้นเป็นเมืองหลวงใหม่ของประเทศพม่าหรือเมียนม่าร์แทนกรุงย่างกุ้งที่เป็นเมืองหลวงเก่ามาอย่างยาวนาน เมื่อวันที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2549 โดยพลเอกอาวุโสตาน ฉ่วย ผู้นำสูงสุดในขณะนั้น ด้วยเหตุผลหลักในด้านการบริหารประเทศได้ง่ายขึ้น เนื่องจากกรุงเนปิดอว์ตั้งอยู่ตรงกลางของประเทศพอดี ปัจจุบันกรุงเนปิดอว์ยังอยู่ในช่วงของการสร้างเมือง ถนนหนทาง แหล่งธุรกิจ โรงแรม ไม่ยังเสร็จสมบูรณ์นัก แต่ด้วยเหตุที่พม่าเพิ่งเปิดประเทศ (หลังจากปิดประเทศมาตั้งแต่สมัยทหารเข้ายึดอำนาจการปกครอง) จึงสามารถกล่าวได้ว่าในประเทศพม่านั้น ถนนทุกสาย นักลงทุนจากทั่วโลก กำลังมุ่งไปสู่กรุงเนปิดอว์ทั้งสิ้น



     ประเทศลาว เมืองหลวงคือ กรุงเวียงจันทน์ (Vientiane)


      เวียงจันทน์ หรือ นครหลวงเวียงจันทน์ ตั้งอยู่ในภาคกลางของประเทศลาวในเขตลุ่มแม่น้ำโขง โดยอยู่ติดกับจังหวัดหนองคายของประเทศไทย เวียงจันทน์เป็นเมืองโบราณมีอายุมากกว่าหนึ่งพันปี โดยสถาปนาเป็นเมืองหลวงตั้งแต่สมัยพระเจ้าไชยเชษฐาธิราชในราวพุทธศตวรรษที่ 15 เวียงจันทน์เป็นเมืองหลวงและเมืองใหญที่สุดของประเทศลาว มีประชากรอยู่หนาแน่นที่สุด โดยมีประชากรราว 700,000 คน โดยในยุคการล่าอาณานิคม เวียงจันทน์เคยตกอยู่ภายใต้การยึดครองของประเทศฝรั่งเศส



          ประเทศเวียดนาม เมืองหลวงคือ กรุงฮานอย (Ha Noi)


      ฮานอยเดิมเป็นเมืองหลวงของประเทศเวียดนามเหนือ เมื่อเวียดนามเหนือได้รับชัยชนะในสงครามเวียดนามและได้รวมเวียดนามใต้เข้าเป็นส่วนหนึ่งแล้ว จึงสถาปนาให้ฮานอยเป็นเมืองหลวงของประเทศ (เดิมเมืองหลวงของเวียดนามใต้คือไซง่อน หรือเมืองโฮจิมินห์ในปัจจุบัน) กรุงฮานอยก็เช่นเดียวกับเมืองหลวงอื่นๆในอาเซียนที่เป็นเมืองใหญ่และเมืองสำคัญที่สุดของประเทศ เป็นศูยน์กลางการเมืองการปกครองของประเทศ แต่ในประเทศเวียดนามนั้น เมืองที่ใหญ่ที่สุดในด้านการค้า การลงทุน การอุตสาหกรรมและการขนส่งทางทะเลคือเมืองโฮจิมินห์ (Ho Chi Minh) ซึ่งอยู่ทางภาคใต้ของประเทศ

ประเทศมาเลเซีย เมืองหลวงคือ กรุงกัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur)


      กรุงพนมเปญเมืองหลวงของประเทศกัมพูชา มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ราชธานีพนมเปญ ตั้งอยู่ทางตอนกลาง (ค่อนไปทางใต้ของประเทศ) มีเนื้อที่ 678 ตารางกิโลเมตร มีประชากรหนาแน่นราว 2,000,000 คน พนมเปญถือว่าเป็นเมืองใหญ่และสำคัญที่สุดของประเทศกัมพูชา เป็นศูนย์กลางการเมืองการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดิน รวมถึงการลงทุนจากต่างประเทศ ในยุคล่าอาณานิคมพนมเปญตกอยู่ภายใต้การยึดครองของฝรั่งเศส และได้รับเอกราชเมื่อปี ค.ศ. 1953

ประเทศกัมพูชา เมืองหลวงคือ กรุงพนมเปญ (Phnom Penh)


    กรุงพนมเปญเมืองหลวงของประเทศกัมพูชา มีชื่อเรียกอีกชื่อหนึ่งว่า ราชธานีพนมเปญ ตั้งอยู่ทางตอนกลาง (ค่อนไปทางใต้ของประเทศ) มีเนื้อที่ 678 ตารางกิโลเมตร มีประชากรหนาแน่นราว 2,000,000 คน พนมเปญถือว่าเป็นเมืองใหญ่และสำคัญที่สุดของประเทศกัมพูชา เป็นศูนย์กลางการเมืองการปกครองและการบริหารราชการแผ่นดิน รวมถึงการลงทุนจากต่างประเทศ ในยุคล่าอาณานิคมพนมเปญตกอยู่ภายใต้การยึดครองของฝรั่งเศส และได้รับเอกราชเมื่อปี ค.ศ. 1953


    ประเทศฟิลิปปินส์ เมืองหลวงคือ กรุงมะนิลา (Manila)


       กรุงมะนิลาเมืองหลวงของประเทศฟิลิปปินส์ตั้งอยู่บนฝั่งตะวันออกของเกาะลูซอน ซึ่งเป็นเกาะใหญ่ที่สุดของประเทศ (จากจำนวนมากกว่า 7,000 เกาะ) เป็นศูนย์กลางทางเศรษฐกิจ วัฒนธรรม การท่องเที่ยว การศึกษา และการอุตสหากรรมของประเทศ ตัวเมืองของกรุงมะนิลามีเนื้อที่เพียง 39 ตารางกิโลเมตร แต่มีประชากรมากถึง 1.7 ล้านคน แต่ถ้านับชานเมืองด้วยจะมีเนื้อที่ 1,475 ตารางกิโลเมตร แต่จะมีประชากรมากถึง 22 ล้านคน ซึ่งนับว่ามีประชากรอาศัยอยู่หนาแน่นมาก ในสมัยการล่าอาณานิคม กรุงมะนิลาตกอยู่ภายใต้การปกครองของประเทศสเปนและอยู่ภายใต้การดูแลของประเทศสหรัฐอเมริการวม 400 ปี

    เมืองหลวงอาเซียนทั้ง 10 เมือง เป็นเมืองใหญ่ที่สุดของแต่ละประเทศ เป็นศูนย์กลางการปกครอง การค้า การลงทุน การเงินการธนาคารของประเทศนั้นๆ มีข้อสังเกตุอยู่ข้อหนึ่งคือในความจริงแล้วประเทศสิงค์โปร์นั้นไม่มีเมืองหลวง เนื่องจากเป็นประเทศที่เล็กมาก จึงใช้ประเทศทั้งประเทศเป็นเมืองหลวงไปเลย ส่วนเมืองที่มีประชากรหนาแน่นที่สุดในอาเซียนคือกรุงจาการ์ต้า ประเทศอินโดนีเซีย

  ที่มา

https://aec.kapook.com/view51891.html




วันอาทิตย์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2561

กระบวนการออกแบบเชิงวิศวกรรม

                               หุ่นยนต์ดูแลคนป่วยหรือผู้สูงอายุ

     
1. ขั้นระบุปัญหา (Problem Identification)
 ในปัจจุบันคนเราบางครั้งก็เกิดความขี้เกียจบ้าง มีงานที่ทำต้องมากมาย อาจจะดูแลคนหรือญาติพี่น้องของเราไม่ได้ จึงต้องพึ่งเทคโนโลยีเข้ามาช่วยเรา ช่วยในการแบ่งเบาภาระของเราให้น้อยลง
และบางครั้งบางคราวที่แพทย์หรือพยาบาลไม่ว่างก็คงมีหุ่นยนต์เข้ามาช่วยงาน  เช่น การดูแลผู้ป่วยที่นอนอยู่   ดูแลผู้สูงอายุ   ช่วยในการผ่าตัดต่างๆ  และช่วยอยู่เป็นเพื่อนกับผู้สูงวัย

2.รวบรวมข้อมูลและแนวคิดที่เกี่ยวข้องกับปัญหา (Related Information Search)
   จากปัญหาที่พบในปัจจุบันเห็นว่าผู้สูงอายุไม่ค่อยสะดวกไปไหนมาไหนด้วยตนเอง จึงต้องจำเป็นอาศัยหลักของวิทยาศาตร์  คณิตศาตร์  และเทคโนโลยีเข้ามาช่วย เพื่อคิดค้นและประดิษฐ์หุ่นยนต์เพือช่วยในการแก้ปัญหาของผู้สูงวัยที่จะเคลื่อนที่ในขณะที่อยู่ไม่สบาย   ทำให้ผู้สูงวัยพึ่งพาตัวเองได้มากขึ้น

3.ออกแบบวิธีการแก้ปัญหา (Solution Design)
   เป็นหุ่นยนต์ตัวแรกของโลกที่มีรูปร่างคล้ายคน ขนาดเท่าคนจริง และแต่งกายแบบหมอ โดยมีส่วนอุปกรณ์หลัก เช่นการใช้เซนเซอรืในการทำงานของหุ่นยนต์ ช่วยหยิบจับสิ่งของให้กับคนในขณะที่ไม่อาจหยิบถึง  ถ้าหากเจ้าหุ่นยนต์ไม่ทำงาน
  


 4.วางแผนและดำเนินการแก้ปัญหา (Planning and Development)

  •   วางแผนสำหรับการเกิดวัยผู้สูงอายุมากขึ้น
  •   หาสาเหตุของการเกิดวัยผู้วูงอายุมาก
  •   เตรียมรับมือกับการเป็นผู้สูงวัย
  •   เตรียมอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่างๆ เพื่อการประกอบหุ่นยนต์
  • วางแผนการสร้างหุ่นยนต์ขึ้นมา




5.ทดสอบ ประเมินผล และปรับปรุงแก้ไขวิธีการแก้ปัญหาหรือชิ้นงาน (Testing, Evaluation and Design Improvement)

  • การที่มีหุ่นยนต์มาทำงานหรือมาดูแลคนป่วย ผุู้สูงอายุนั้นเป็นสิ่งใหม่ที่ดีมาก
  • ชิ้นงานหรือหุ่นยนต์นี้ สามารถใช้งานได้ตามต้องการ
  • มีประโยชน์และช่วยแบ่งเบาภาระ เช่น  ความสามารถในด้านการแพทย์  ช่วยแจกจ่ายยาให้แก่ผู้ป่วย   ช่วยดุแลผู้ป่วย
  • อาจจะมีข้อบกพร่องบ้างบางจุด
  • หุ่นยนต์อาจไม่ทำงานตามที่ได้วางแผนไว้
6.นำเสนอวิธีการแก้ปัญหา ผลการแก้ปัญหาหรือชิ้นงาน (Presentation)
  • หุ่นยนต์มีปัญหาในการตรวจจับภาพที่เป็นสีเพราะมันมีค่าผิดเพี้ยนค่อนข้างมากและบางภาพหุ่นยนต์ก็ไม่สามารถแยกสีออกได้  แนวทางการแก้ไข คือ ได้แก้ไขโปรแกรมหุ่นยนต์ให้ประมวลภาพที่เป็นสัญลักษณ์ที่แตกต่างแทนภาพที่เป็นสี ซึ่งจะทำให้ได้ความแม่นยำมากขึ้น
  • หุ่นยนต์มีความเร็วในการเดินต่ำ เนื่องจากได้สเต็ปปิ้งมอเตอร์ในการขับเคลื่อนหุ่นยนต์   แนวทางการแก้ไข คือได้เปลี่ยนจากสเต็ปปิ้งมอเตอร์ไปเป็นเซนเซอร์แทน








เสริม
ข้อดี
1.จะได้พนักงานที่ ไม่ขาด ไม่ลา ไม่สาย ทำงานเต็มประสิทธิภาพ
2.จะประหยัดค่าใช้จ่ายมากขึ้น ทั้งสวัสดิการต่างๆ เงินเดือน ต้นทุนจะลดลง กำไรสูงขึ้น
3.จ้างคนที่ทำงานดูและระบบ Maintenance หากระบบมีปัญหา ก็เพียงพอจะขับเคลื่อนบริษัทได้
4.อาชีพ ไอที จะมีค่าจ้างสูงขึ้น การแข่งขันกันมากขึ้น เพราะอาจจะมีอัตราจ้างต่อบริษัทจำนวนน้อย
ข้อเสีย
1.ขาดอาชีพ ขาดรายได้ จะมีผลกระทบต่อเศรษฐกิจโดยรวม เพราะกำลังผลิตสูง แต่จะขายให้ใครได้ เพราะผู้บริโภคไม่มีกำลังในการซื้อ
2.จะเกิดการต่อต้านแน่นอน และอาชีพ ไอที จะอันตราย เพราะทำให้คนตกงานมากมาย อาจจะมีแรงเกลียดชังสูงขึ้น

ที่มาและภาพประกอบ:

https://www.engadget.com/2015/02/26/robear-japan-caregiver
http://www.riken.jp/en/pr/press/2015/20150223_2
http://www.bluefrogrobotics.com/en/buddy
http://thumbsup.in.th/2017/07/sansiri-transformation
https://twitter.com/Thavisin
https://asia.nikkei.com/Tech-Science/Tech/Docomo-s-drones-gear-up-for-island-deliveries
https://newatlas.com/7-eleven-drone-delivery/44513
https://www.ft.com/content/418ffd08-9e10-11e7-8b50-0b9f565a23e1
http://www.dinsow.com/dinsow-lll.html
https://theconversation.com/how-robots-could-help-bridge-the-elder-care-gap-82125?xid=PS_smithsonian
https://www.softbank.jp/robot/special/pepper
http://thumbsup.in.th/2017/07/sansiri-transformation





ประวัติขอลไพทอน

                                                                                             ประวัติความเป็นมาของ Python ...